GGC เดินกลยุทธ์เชิงรุกขับเคลื่อนต่อยอดธุรกิจสู่การเติบโตแบบยั่งยืน
หนุน EBITDA CAGR โต 15% และ Competitive EBITDA Margin โต 11% ในปี 2030
บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)
หรือ GGC
เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรเพื่อสร้างโอกาส การเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์การลงทุนขยายพอร์ตทางธุรกิจ High Value Product
หนุน EBITDA CAGR โต 15% และ Competitive EBITDA Margin โต 11%
ภายในปี 2030 จาก การรับรู้รายได้ธุรกิจใหม่มากกว่า
50% สอดรับการฟื้นตัวของ 4 กลุ่มอุตสาหกรรม (เมทิลเอสเทอร์-แฟตตี้แอลกอฮอล์-กลีเซอรีน-เอทานอล)
เริ่มฟื้นตัว
นายกฤษฎา
ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่า
GGC ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กร
สร้างโอกาสการเติบโตในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “TO
BE A LEADING GREEN CHEMICAL COMPANY BY CREATING SUSTAINABLE VALUE” ภายใต้การเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม
พร้อมขับเคลื่อนพลังแห่งการสร้างสรรค์ เพื่อคุณค่าที่ยั่งยืน ผ่านยุทธศาสตร์ 3
สร้างดังนี้
เข้มแข็ง :
ในธุรกิจหลัก (Core
Business) อาทิ เมทิลเอสเทอร์ (ME), แฟตตี้แอลกอฮอล์ (FA) และเอทานอล (EtOH) พร้อมปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง โดยมุ่งเน้น Operational
Excellence, Commercial Excellence หรือการควบคุมเพื่อลดการเกิดผลกระทบต่อธุรกิจหลัก
เติบโต : โดยการปรับ
Portfolio
ให้ชัดเจนสำหรับการลงทุนใน 3 กลุ่มธุรกิจ Bioenergy,
Biochemicals และ Food Ingredients & Pharmaceutical ภายใต้เป้าหมายการดำเนินการ ได้แก่
<!--[if !supportLists]-->·
<!--[endif]-->โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ระยะที่ 2
(NBC2) : โครงการให้บริการด้านสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพรายใหญ่
Nature Works ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี
2025
<!--[if !supportLists]-->· <!--[endif]-->โครงการ
TEX Expansion : โดย บริษัท ไทยอีทอกซีเลท จำกัด หรือ TEX บริษัทร่วมทุนระหว่าง
GGC และ บริษัท บีเอเอสเอฟ (ไทย) จำกัด (BASF) ในสัดส่วน 50:50% ซึ่งเป็นธุรกิจที่ดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์
อีทอกซีเลท (FAEO) โดยเพิ่มกำลังผลิตจาก 1 แสนตันต่อปี เป็น 1.5 แสนตันต่อปี เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต
<!--[if !supportLists]-->·
<!--[endif]-->ต่อยอดธุรกิจภายใต้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น High Value
Product ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลายน้ำให้มากขึ้น เพื่อมุ่งเน้นสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจส่วนประกอบอาหารและโภชนเภสัช
(Food Ingredients & Pharmaceutical) โดยมีแผนออกผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ซึ่งเชื่อว่าธุรกิจนี้จะเป็น Portfolio ใหม่ที่สร้างการเติบโตและยั่งยืนให้กับ
GGC เนื่องจากผลิตภัณฑ์เป็น Green ซึ่งจะมีความชัดเจนภายในปลายปี 2024
ยั่งยืน : โดย GGC ยึดหลักการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG และได้รับการยอมรับในระดับสากล
รวมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจจาก Decarbonization และทบทวนเป้าหมายการดำเนินงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง
(Business Landscape) โดยมีเป้าหมายด้านการเติบโต คือ EBITDA
CAGR ที่ 15% Competitive EBITDA Margin 11% ภายในปี
2030 จากการเติบโตของธุรกิจใหม่มากกว่า 50% โดยสามารถคงเป้าหมายด้าน Net
Zero ในปี 2050 ดังนั้น บริษัทฯ
จึงมีการทบทวนรายละเอียดการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ให้มีความชัดเจน รวมทั้งวัดผลได้
นายกฤษฎา ยังได้กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมในปี
2024
ว่า ตลาดเมทิลเอสเทอร์ (B100) ความต้องการใช้ปรับตัวดีขึ้นจากการบังคับใช้น้ำมันมาตรฐาน
EURO 5 ตามนโยบายภาครัฐ เพื่อเพิ่มความเข้มงวดเรื่องการปล่อยมลพิษและฝุ่นละอองจากเครื่องยนต์
ทำให้บริษัทฯ คาดว่าภาครัฐจะยังคงสัดส่วนการผสม ไบโอดีเซลที่ B7
เป็นน้ำมันพื้นฐานตลอดทั้งปี และยังได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ
ขณะที่ภาคอุปทานของตลาดเมทิลเอสเทอร์ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นของผู้ผลิตรายเดิมและมีราคาคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี
2023 ตามราคาน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศ
แฟตตี้แอลกอฮอล์ (Natural Fatty Alcohols) ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มี
แนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียกับยูเครน
และประเทศอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสคลี่คลาย
ส่งผลให้ผู้ซื้อส่วนใหญ่กลับมาจัดซื้อสินค้าเพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าคงคลัง (restock)
มากขึ้น โดยอุปทานโดยรวมมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
จากแผนขยายกำลังการผลิตของผู้ผลิตในประเทศอินโดนีเซีย และยังไม่มีแผนหยุดดำเนินการผลิตของผู้ผลิตรายอื่น
และแนวโน้มราคาแฟตตี้แอลกอฮอล์ในปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาวัตถุดิบน้ำมันเมล็ดในปาล์ม
(CPKO) ที่แข็งค่าขึ้น
กลีเซอรีน ปรับตัวดีขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น
ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์ Epichlorohydrin (ECH) ฟื้นตัว
โดยเฉพาะในประเทศจีนประกอบกับความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยส่วนบุคคล (Home
and Personal Care) รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารและยา มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง
ส่วน อุปทานปรับตัวดีขึ้นจากมีการขยายกำลังการผลิตของผู้ผลิตแฟตตี้แอลกอฮอล์รายใหญ่ ในประเทศอินโดนีเซีย รวมทั้งนโยบายด้านพลังงานของแต่ละประเทศที่มีแนวโน้มสนับสนุนการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น
และราคาเฉลี่ยของกลีเซอรีนมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามราคาวัตถุดิบน้ำมันปาล์ม
เอทานอล (E100) ปรับตัวเพิ่มขึ้น
โดยได้ปัจจัยหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
การลดราคาด้านพลังงานรวมถึงนโยบายลดราคาแก๊สโซฮอล ซึ่งเป็นการเพิ่มอุปสงค์ อีกทั้งภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคอุปทานทรงตัว
เนื่องจากไม่มีการขยายกำลังการผลิตของผู้ผลิตภายในประเทศ
ด้านราคา เอทานอลทรงตัว
ตามราคาวัตถุดิบสำหรับการผลิตเอทานอลโดยรวมที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ
ปี 2023 บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ
จำนวน 202 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย จำนวน 17,719 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 29
จากการปรับตัวลดลงของราคาขายเมทิลเอสเทอร์และแฟตตี้แอลกอฮอล์ตามราคาวัตถุดิบที่ลดลง แต่บริษัทฯ ได้บันทึกรายการพิเศษ จำนวน 60 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการตีมูลค่ายุติธรรมของหลักประกันเพิ่มขึ้นเป็นผลให้บริษัทฯ
ลดการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายจากความเสียหายวัตถุดิบคงคลัง
และปรับรายการภาษีเงินได้รอตัดบัญชี